The International Day of Peace was established in 1981 by the United Nations General Assembly. Two decades later, in 2001, the General Assembly unanimously voted to designate the Day as a period of non-violence and cease-fire. Over the years, peacekeeping has evolved to adapt to the changing political landscape and nature of conflicts which have become more complex and interconnected. With support from UN member countries, it continues to advance the path set forth in the UN Secretary-General’s New Agenda for Peace which calls for a more robust, holistic and collective response to the security threats of today and tomorrow.

Despite the challenges, peacekeepers persevere, alongside many partners, in the collective pursuit of peace. The International Day pays tribute to the service and sacrifice of peacekeepers and the resilience of the communities that they serve. It honors the more than 4,000 peacekeepers who have lost their lives serving for peace. This campaign also calls on each of us to join the global movement for peace. Alone, we can never succeed. But, together, we can be a strong force for change.

สันติภาพต้องเกิดขึ้นที่ใจ

ความศรัทธาในเรื่องการเปลี่ยนแปลงตนเองให้มีชีวิตที่เป็นอิสระจากทุกข์ เพราะเชื่อมั่นว่าถ้าทุกคนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเอง สันติภาพจะเกิดขึ้น เราจะมีศรัทธาในการใช้ชีวิต ที่รู้ว่าเมื่อใดที่มนุษย์ลงมือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเองแล้ว โลกจะเปลี่ยนแปลง นี่คือศรัทธาที่มีปัญญาด้วย เพราะเราเปลี่ยนแปลงตัวเราเอง และเราเห็นผลจริงจากการปฏิบัติ ว่าเราทุกข์น้อยลง เราเป็นอิสระมากขึ้น มีความสงบเย็นและเป็นประโยชน์มากขึ้น เราจึงเชื่อว่าสันติภาพเกิดขึ้นได้ถ้ามนุษย์ทำเช่นนั้น.

โลกจะยุ่งวุ่นวายอย่างไรก็ช่าง แต่อิสรภาพเกิดขึ้นได้สำหรับคนที่เปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วสันติภาพที่มันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทุกคนต้องเริ่มต้นที่ตัวเอง ผลจะเป็นมหาภาค ครอบครัวเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ครอบครัวนี้ก็มีสันติภาพได้ ถ้าประเทศนี้ทุกคนเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ประเทศนี้ก็มีสันติภาพได้ แล้วถ้าทำได้อย่างนี้ทำไมนานาประเทศจะทำไม่ได้ แล้วโลกจะไม่มีสันติภาพได้อย่างไร สันติภาพต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา แต่ผลจากการเปลี่ยนแปลงเป็นผลของโลก เพราะโลกก็คือคนในโลก เราใช้โอกาสที่มีด้วยพลังของจิตที่ตั้งมั่นและบริสุทธิ์ จิตของเราจะควรแก่การงาน และทำของยากให้ง่ายได้

โลกแห่งสันติภาพจะเกิดขึ้นเมื่อตาดู หูฟัง จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส และกายกระทบแล้วอย่าปล่อยให้หัวใจของเรากระเทือนหวั่นไหว ถ้ากระทบแล้วไม่กระเทือน โลกใบนี้จะงดงามสำหรับเราและผู้อื่น ถ้าเราเคารพตัวเอง เราจะเคารพสรรพชีวิตที่อยู่รายรอบตัวท่าน สันติภาพที่เกิดขึ้นจากภายใน(ใจ) จะเป็นสันติภาพภายนอก(โลก)

การเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและศาสนา มิใช่เรื่องธรรมดา มิใช่โชคชะตา มิใช่ฟ้าบัลดาล หากคือการทำงานอย่างหนักเพราะตระหนักรู้ในหน้าที่ที่เรากำลังเดินทางเพื่อที่จะพบกับสันติภาพที่ปรากฏขึ้นในทุกย่างก้าวของเรา เสียงแห่งความศรัทธา เสียงแห่งความรักที่จะนำไปสู่สันติภาพโลก เพราะศีลธรรมของมนุษย์ทุกคนคือสันติภาพของโลก เพื่อที่จะทำให้เราเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ท่ามกลางความรุนแรงของสถานการณ์โลกภายนอก ทว่าสันติภาพของโลกภายในใจก็เกิดขึ้นได้ เช่น การเป็นแม่ที่ให้การอบรมสั่งสอนลูก เฉกเช่น การเป็นแม่พิมพ์ของมนุษย์ ที่จะหล่อหลอมเยาวชนให้เติบโตมาอย่างมีคุณค่า หรือกลายเป็นเศษมนุษย์ หากสังคมมีแม่ที่มีคุณธรรม มีความรู้ สีสติ และปัญญา ทำหน้าที่ของแม่ ผู้หญิงที่เป็นแม่คนนั้นต้องถอดถอนอคติและไม่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความพยาบาทลงไปในตัวลูก ลูกจึงจะเป็นเพื่อนกันได้

ผู้หญิงที่เป็นแม่ในโลกปัจจุบันที่จะยุติความรุนแรงที่จะส่งถ่ายไปยังคนอีกรุ่นหนึ่ง คือ รุ่นลูก เพราะถ้าเหตุยุติ อนาคตจะไม่มีเชื้อ เราย่อมรู้ได้ว่า มนุษย์ที่จะเติบโตมาในอ้อมอกอุ่นนี้จะมีคุณภาพเพียงใด ด้วยมือที่มีความอ่อนโยนละเอียดของสตรีนี้เองที่จะสร้างสันติ สร้างคุณค่าความเป็นมนุษย์และระงับความรุนแรงก้าวร้าวในสังคมโลกได้ในที่สุด และถ้าคนมีศรัทธาในสิ่งนี้มากขึ้น สิ่งนี้ก็เปลี่ยนแปลงให้โลกเกิดสันติภาพได้